เทคโนโลยี AI อาจเป็นฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือน

เทคโนโลยี AI อาจเป็นฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือน

เทคโนโลยี AI อาจเป็นฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือน

เทคโนโลยี AI อาจเป็นฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือน

 

Artifact Intelligence (AI) เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้มันถูกพัฒนาให้มีความสามารถมากมายหลายอย่างที่จะช่วยให้มนุษย์ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ก่อนที่จะมี AI เคยมีคนกล่าวว่าการพัฒนาโปรแกรมเล่น GO เทพๆ ออกมาได้ นั้นเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากรูปแบบเกมส์ที่เป็นไปได้ของเกมส์โกะนั้นมีจำนวนมหาศาล ว่ากันว่ามีความเป็นได้มากถึง 10172 รูปแบบเลยทีเดียว ทำให้เป็นการยากที่จะเขียนโปรแกรมโกะให้รู้ว่าควรจะเดินหมากอย่างไรในแต่ละตาเดิน แต่เมื่อปีที่แล้ว (2560) โปรแกรม AI ที่มีชื่อว่า AlphaGoพัฒนาโดยทีม DeepMind ของ Google สามารถเอาชนะ Ke Jie นักเล่นโกะมือ 1 ของโลกไปได้อย่างสวยงาม เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของความเป็นไปได้ที่ AI สามารถทำได้

หลังจากเหตุการณ์นั้น เราก็เห็น AI ใหม่ๆ ออกมามากมาย ซึ่งก็มาในหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น แอพฯ แต่งรูปชื่อดังอย่าง Prisma ที่สามารถเปลี่ยนรูปธรรมดาให้เป็นภาพศิลปะได้ นั่นก็ใช้ AI ในการประมวลผลเช่นกัน หรือ Photoshop CC เวอร์ชั่นใหม่ก็มีการใช้ AI (Adobe Sensei) ช่วยให้เราสามารถเลือกวัตถุในภาพได้อัตโนมัติอย่างแม่นยำ เพราะมันวิเคราะห์ได้เลยว่า นี่คือคนนะ หรือนี่คือสัตว์เลี้ยงนะ


AI ทำงานได้อย่างไร?

ก่อนที่ไปดูว่าทำไม AI ถึงแย่งงานของมนุษย์ได้ เราควรรู้ก่อนว่า AI คืออะไร และทำงานได้อย่างไร?

เทคโนโลยี AI อาจเป็นฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือน
ภาพจาก https://blogs.nvidia.com/blog/2016/07/29/whats-difference-artificial-intelligence-machine-learning-deep-learning-ai/

เราคงไม่อธิบายเจาะลึกไปถึงวิธีทำงานนะครับ เพราะคงต้องร่ายกันเป็นหน้าๆ เลยล่ะ ขออธิบายเป็นแนวคิดให้เข้าใจง่ายๆ ดีกว่า AI (Artificial intelligence) หมายถึง เครื่องจักรที่มีความฉลาด มีสติปัญญาในการคิด และตัดสินใจ คำว่า AI มีคำคู่ขนานคือ NI (Natural intelligence) โดย NI ใช้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น มนุษย์ สัตว์เลี้ยง ถ้าจะสรุปง่ายๆ เลย AI ก็คือ เครื่องจักรที่เราพัฒนาให้มันมีความฉลาดเหมือนกับสิ่งมีชีวิตนั่นเอง


ที่มา : https://www.facebook.com/Engineering/videos/10154673882797200/

ต่อมาการจะทำให้ AI เกิดความฉลาดขึ้นมาได้ เราไม่ได้ใช้วิธีเขียนโปรแกรมไปอย่างเฉพาะเจาะจง แต่เราจะเขียนโค๊ดอัลกอริทึ่มขึ้นมา แล้วใช้เจ้าอัลกอริทึ่มนี้สอนให้ AI เกิดการเรียนรู้ อย่างเช่น เราอยากให้ AI รู้จักว่าสุนัขหน้าตาเป็นอย่างไรก็ เราก็เขียนอัลกอริทึ่มลักษณะของสุนัขขึ้นมา จากนั้นก็ป้อนฐานข้อมูลของสุนัขจำนวนมหาศาลเข้าไปในระบบ เพื่อให้ AI เรียนรู้ว่า สุนัขหน้าตาเป็นอย่างไร เราเรียกกระบวนการนี้ว่า Machine learning

อันที่จริงคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจหรอกว่าข้อมูลสุนัขเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่คอมพิวเตอร์เห็นก็จะเป็นชุดตัวเลขของข้อมูลเท่านั้น สิ่งที่มันรู้ก็คือ ฐานเลขข้อมูลกลุ่มนี้เป็นข้อมูลของสุนัขเท่านั้นเอง

แล้ว Deep learning ล่ะ?

Deep learning คือ รูปแบบโครงสร้างของ Machine learning จำนวนมหาศาลที่เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายหลายชั้น เราเรียกเทคโนโลยีนี้ว่าระบบประสาทเทียม (Artificial neural networks (ANNs)) ซึ่งเป็นโครงสร้างการทำงานที่เหมือนกับสมองของมนุษย์ ทำให้การทำงานของมันมีความแม่นยำ และชาญฉลาดเป็นอย่างมาก

เริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วใช่ไหมครับว่า เทคโนโลยี AI นั้นมีพลังมากขนาดไหน มันเป็นนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษยชาติได้เลยล่ะ


AI ส่งผลกระทบต่อแรงงานมนุษย์ได้อย่างไร?

ธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีข้อเสีย คือ มีอารมณ์, มีความเหนื่อยล้า, มีความผิดพลาด ฯลฯ ในขณะที่ AI จะไม่มีสิ่งบกพร่องเหล่านี้ ด้วยลักษณะงานบางอย่างแล้ว การนำ AI เข้ามาใช้ มันจะทำหน้าที่ได้ดีกว่ามนุษย์มาก

จากรายงานการวิจัยของ Gartner Inc. บริษัทเพื่อการวิจัยและให้คำปรึกษาระดับโลกที่บริษัทชั้นนำต่างๆ ของโลกต่างก็ยอมรับได้เคยประเมินว่าในปี 2020 AI จะแย่งงานคนอเมริกาประมาณ 1,800,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม Gartner ก็ได้ให้ความเห็นว่า AI ทำให้การผลิต และการบริการมีความเร็วมากขึ้น ดังนั้นมันก็จะสร้างตำแหน่งงานได้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ มีอาชีพที่หางานยากขึ้น และมีอาชีพที่จะหางานง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น AI อาจจะทำให้ผลิตสินค้า A ได้มากขึ้นจาก 10,000 ชิ้น/เดือน กลายเป็น 100,000 ชิ้น/เดือน
ดังนั้น ฝ่ายผลิตอาจจะตกงาน แต่ฝ่ายขนส่ง หรือฝ่ายขายก็จะมีตำแหน่งงานเพิ่มมากขึ้น

สำหรับกลุ่มอาชีพแรก ที่ผมมองว่าจะได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรกๆ ก็คือ อาชีพที่เกี่ยวกับการขับรถ อย่างเช่น คนขับแทกซี่ และคนขับรถบรรทุก ในปัจจุบันนี้จีน และอเมริกาเริ่มนำร่องระบบรถบรรทุกแบบไร้คนขับแล้ว โดยใช้ AI ในการควบคุมยานพาหนะแทน ซึ่ง AI ไม่ต้องพัก ไม่มีขับรถเกเร มันจึงเหมาะแก่การขับรถบรรทุกขนส่งในระยะไกลมากกว่ามนุษย์เยอะ

ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างสิงค์โปร์ ก็เริ่มทดสอบระบบ TAXI ไร้คนขับแล้วนะครับ บริการโดย nuTonomy กดเรียกจากแอพฯ แล้วรถจะวิ่งมารับเราอัตโนมัติเลย ค่ายรถส่วนใหญ่ในปัจจุบันทั้งต่ายญี่ปุ่น และค่ายยุโรป ต่างก็กำลังเร่งพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อนำมาใช้กับรถที่จะวางจำหน่ายในอนาคต อนาคตที่ว่านี้ไม่ไกลนะครับ อาจจะแค่อีก 2-3 ปีนี้ด้วยซ้ำ

Starship ก็เป็นอีกหนึ่งบริการส่งอาหารที่ใช้หุ่นยนต์ในการรับส่งของ ซึ่งด้วยเทคโนโลยี AI และแผนที่ ทำให้หุ่นยนต์สามารถเดินทางไปส่งของได้อย่างแม่นยำ และปลอดภัย ในอนาคตหากจะมีหุ่นยนต์ประเภทนี้มาแย่งงานงาน Messenger ก็ไม่น่าแปลกใจเลย

ด้านการเงินก็เป็นอีกหนึ่งวงการที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ด้วยเช่นกัน ด้วยความสามารถทางด้านการวิเคราะห์ที่ฉลาดยิ่งกว่ามนุษย์ ก็ไม่น่าแปลกใจที่ AI จะถูกนำมาใช้ในด้านวิเคราะห์การเงิน, การลงทุน, การธนาคาร หรือการบัญชี แทนที่แรงงานคน

ตัวอย่างเช่น IBM Watson เป็น AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดรวมถึงผลกระทบได้ล่วงหน้า เพื่อแจ้งเตือนให้เราเตรียมแผนการรับมือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งมันสามารถวิเคราะห์จำนวนจำนวนมหาศาลได้จากหลายๆ แห่งพร้อมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แรงงานมนุษย์ยากจะทำได้เทียบเท่า

หรือจะเป็นด้านธนาคาร AI สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบัญชีได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง และวิเคราะห์ได้ด้วยว่ามีรายการผิดปกติเกิดขึ้นในระบบหรือไม่ ไม่เพียงแต่ด้านดูแลความปลอดภัยเท่านั้น AI สามารถตอบโต้เพื่อให้บริการกับลูกค้าได้ด้วย ในอนาคตเราไม่จำเป็นต้องมาฟังเสียงโทรศัพท์ตอบรับที่น่าเบื่อหน่าย เพราะ AI สามารถให้บริการเราได้ตลอดเวลา

เทคโนโลยี AI อาจเป็นฝันร้ายของมนุษย์เงินเดือน
ที่มาข้อมูล : https://www.cbinsights.com/research/jobs-automation-artificial-intelligence-risk/

CBINSIGHTS ผู้เชี่ยวชาญได้การวิเคราะห์ข้อมูลได้ประเมินว่าวงการสาธารณะสุขจะเป็นวงการที่ได้รับกระทบมากที่สุดจาก AI สุขภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ละวันมีคนไข้จำนวนมากที่ต้องการรับการรักษา ซึ่งงานในวงการนี้แพทย์ และพยาบาลต้องทำงานหนักมาก จึงมีการพัฒนา AI ขึ้นมาช่วยเหลืองานด้านนี้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น AI ที่สามารถวิเคราะห์คาดเดาอาการผู้ป่วยได้ล่วงหน้า, AI ที่สามารถรับสายโทรศัพท์จากผู้ป่วยที่ติดต่อเข้ามาสอบถามอาการ, AI พยาบาลที่คอยตรวจสอบข้อมูลของผู้ป่วย เพื่อพิจารณาอาการของคนไข้ได้ตลอดเวลา

ไม่นานมานี้ Google ก็เพิ่งจะเผยแพร่งานวิจัยด้าน AI ที่สามารถคาดการณ์ผลการรักษาทางการแพทย์ ซึ่ง Google ยังระบุว่าสามารถคาดการณ์ได้แม่นยำกว่าขั้นตอนการตรวจรักษาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย


สรุป

เรามองว่าการมาของ AI ไม่ได้ทำได้ทำให้ตำแหน่งงานลดลง มันน่าจะมีตำแหน่งงานเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ “เพียงแต่” สายอาชีพบางอย่างน่าจะมีความต้องการในตลาดแรงงานลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แล้วคุณผู้อ่านล่ะ คิดว่างานที่ตนเองทำอยู่จะได้รับผลกระทบจากการมาของ AI บ้างไหม?

ที่มา : blogs.nvidia.com , www.techrepublic.com , www.reachforce.com , www.cbinsights.com

รับออกแบบติดตั้งระบบNetwork,รับเขียนเว็บไซต์,รับวางระบบ network,เช่าและจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ >> https://vivadeva.com/